โครงงาน
การพัฒนาสื่อเพื่อการศึกษาผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ต
เรื่อง โรคหอบ
ทำโครงงาน
เด็กหญิงบัวชมพู ดวงอินทร์
เสนอ
นางยุพิน
โพธิ์ดอก
อาจาร์ที่ปรึกษา
โครงงานเล่มนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงงานคอมพิวเตอร์
ง.23120
ประจำปีการศึกษา
โรงเรียนมารดาวนารักษ์
บทคัดย่อ
โรคหอบ นี้เป็นโครงงานพัฒนาสื่อเพื่อการศึกษา
ลักษณะเด่นของโครงงาน
นี้คือ
เป็นโครงงานที่ใช้คอมพิวเตอร์ในการผลิตสื่อเพื่อการศึกษาเรื่อง “โรคหอบ”
เป็นเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาหลากหลาย
โดยสามารถใช้เป็นเครื่องมือสื่อสาร การประกาสข่าวสารการแสดงความคิดเห็น
การเผยแพร่ผลงานในหลายด้านไม่ว่าจะเป็น ด้านอาหาร การเมือง เทคโนโลยี
หรือข่าวสารปัจจุบัน
สารบัญ
บทที่1 บทนำ หน้า
บทที่2 เอกสารกับทฤษฏีที่เกี่ยวข้อง หน้า
2.1
โรคหอบ
บททื่3 วิธีดำเนินการ หน้า
บทที่4 ผลการดำเนินการ
บทที่5 สรุปและข้อเสนอแนะ
บรรณานุกรม
ภาคผนวก
บทที่1
บทนำ
แนวคิดที่มาของโครงงาน
เทคโนโลยีทางการสื่อสาร เทคโนโลยีทางด้านคอมพิวเตอร์ ในปัจจุบัน
เริ่มมีบทบาทในการดำเนินชีวิตของมนุษย์และมีส่วนช่วยสนับสนุนสื่อทางด้านการศึกษาอีกด้วยโดยสื่อสมัยใหม่นิยมเป็น
สื่อการเรียนผ่านเครือค่ายอินเตอร์เน้ต เพราะ สะดวกรวดเร็วและเข้าถึงได้ง่าย
โรคหอบ จัดเป้นปัญหาหลักทางสาธารณะสุขที่พบมากขึ้น
โดยเฉพาะในประเทศไทยพบว่าโรคหอบหืดเป็นโรคของหลอดลมที่มีการอักเสบเรื้อรังมีปัญหาเกี่ยวกับโรคหอบ
ปฏิกิริยาตอบสนองต่อสารภูมิแพ้
และสิ่งแวดล้อมมากกว่าคนปกติ ผลจากการอักเสบจึงทำให้เยื่อบุผนังหลอดลมมีการหนาตัว
กล้ามเนื้อหลอดลมมีการหดเกร็งตัว ทำให้ผู้ป่วยมีอาการไอ แน่นหน้าอก
หายใจมีเสียงหวีด และหอบเหนื่อย
อาการหอบเหนื่อยจะเกิดขึ้นทันทีที่ได้รับสารภูมิแพ้
เราควรที่จะมีความรู้ความเข้าใจที่ถูกมี่ความคิกวิตกกังวลว่าตนเองจะเป็น โรคหอบ
ดั้งนั้นข้าพเจ้าจึงคิดทำโครงงานเกี่ยวกับการพัฒนาสื่อทางการศึกษาข้าพเจ้าจึงได้รวบรวมข้อมูลเนื้อหาความรู้เกี่ยวกับ
สิ่งมหัศจรรย์ของดลกและจัดเป็นเว็บบล็อก
วัตถุประสงค์
2.1 เพื่อศึกษา โรคหอบ
2.2
เพื่อเป็นสื่อทางการศึกษาผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ต
2.3 เพื่อเป็นประโยชน์กับคนที่สนใจทั่วไป
ขอบเขตของโครงงาน
1.ศึกษาสาเหตุการเกิดโรคหัวใจ
2.ศึกษาพฤติกรรมที่เสี่ยงต่อการเป็นโรคหอบ
3.เพื่อศึกษาโรคที่มาพร้อมกับโรคหอบ
ผลที่คาดว่าจะได้รับ
1.ผู้คนจะหายจากการเป็นโรค
2.เป็นการนำความรู้ที่ได้จากการศึกษาเกี่ยวกับโรคหอบ
3.เป็นแนวทางการช่วยเหลือผู้ที่เป็นโรคหอบ
บทที่2
ทฤษฏีและเอกสารที่เกี่ยวข้อง
โรคหอบ (asthma)เป็นอาการที่พบได้ในคนทุกวัยโรคหอบหืด เมื่อทางเดินอากาศ
(ท่อเล็กๆในร่างกายที่นำพาอากาศเข้า และออกจากปอด)
มีปฏิกิริยาตอบสนองที่ไวเกินต่อสารภูมิแพ้รอบข้าง เกิดอาการแพ้ระคายเคืองและอักเสบ
สาเหตุที่เกิดขึ้นก็เมื่อมีการสัมผัสกับสิ่งต่างๆที่แพ้ หรือสิ่งซึ่งมีผลทำให้ทางเดินอากาศของคุณเกิดอาการระคายเคือง
(สิ่งกระตุ้น)
เมื่อคุณพบเจอหรือมีการสัมผัสกับสิ่งกระตุ้นทางเดินอากาศของคุณสามารถเกิดอาการเหล่านี้ได้
•มีลักษณะตีบแคบลง
•อักเสบและบวม
•ผลิตเมือกบุออกมามากเป็นพิเศษ
อาการเหล่านี้จะทำให้คุณหายใจไม่สะดวก
และเป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิดอาการต่างๆของโรคหอบหืด – อาการไอ หายใจหอบ มีเสียงหวีด
แน่นหน้าอก และหายใจขัด
ลักษณะอาการของโรคหอบหืดสามารถเกิดขึ้นได้หลายระดับตั้งแต่อาการไม่รุนแรง
ปานกลาง หรืออาการหนัก อาการ ต่างๆ นั้นได้แก่
•ไอ
•หายใจมีเสียงหวีด
•หายใจสั้นและลำบาก
•แน่นหน้าอก
อาการต่างๆเหล่านี้มักเอาแน่เอานอนไม่ได้
สามารถเป็นๆหายๆได้ทุกเมื่อซึ่งโดยปกติแล้วมีโอกาสที่จะเป็นรุนแรง ได้ในตอนกลางคืน
และอย่างที่หลายๆคนคงทรากันดี
ว่าอาการที่ไม่ค่อยจะพบเห็นเท่าไหร่นั่นก็คือหายใจมีเสียงหวีด ที่คุ้นเคย
และมักจะเป็นกันบ่อยๆ คืออาการไอนั่นเอง
สาเหตุ
โรคหอบหืดที่เกิดจากงาน
ผู้ที่เปลี่ยนงานแล้วเกิดโรคหอบหืด
หรือมีอาการหอบเมื่อเข้าที่ทำงาน แสดงว่าท่านอาจจะแพ้สารเคมีในโรงงาน
ผู้ที่ทำงานในโรงงานเหล่านี้จะเสี่ยงต่อการเกิดโรคหอบหืด
ผู้ที่แพ้ แป้ง ธัญพืช ไม่ควรมีอาชีพ
ช่างทำขนมปัง นักเคมี ชาวไร่
แพ้สัตว์ แมลง เชื้อราไม่ควรมีอาชีพ
เลี้ยงสัตว์ พนักงานห้องทดลอง
แพ้สารเคมี ไม่ควรมีอาชีพ ทำงานเกี่ยวกับน้ำมัน
เครื่องเย็น ช่างแต่ผม พนักฟอกย้อม
แพ้โลหะ และ Isocynates ไม่ควรทำงานกับการพ่นสีรถยนต์ ตู้เย็น เครื่องพิมพ์
ยา ไม่ควรทำงานในโรงงานยา
มลภาวะนอกบ้าน
มลภาวะนอกบ้านมักจะเกิดจากฝุ่นขนาดเล็กในอากาศที่เกิดจากรถ
อุตสาหกรรม ควัน เกสรดอกไม้ เมื่อสูดดมหายใจเข้าไปก็จะกระตุ้นทำให้หอบหืดกำเริบ
ข้อแนะนำ
· ให้ติดตามสภาพอากาศ
หากไม่ดีก็ไม่ควรจะออกนอกบ้าน
· ตรวจสภาพอากาศก่อนออกกำลังกาย
· จัดตารางงานในเวลาที่อากาศดี
· หากอากาศไม่ดีให้อยู่ในบ้าน
ปิดหน้าต่าง และเปิดเครื่องปรับอากาศ
· เฝ้าอาการกำเริบของโรคหอบหืด
· สารภูมิแพ้นอกอาคาร
Outdoor
Allergen
เมื่ออยู่นอกบ้านคุณไม่สามารถควบคุมสิ่งแวดล้อมได้
คุณไม่สามารถทำความสะอาดสนามหญ้า หรือใช้เครื่องกรองอากาศ
แต่สิ่งที่คุณสามารถทำได้ก็คือการรับประทานยาอย่างสม่ำเสมอ
หลีกเลี่ยงสภาวะบางอย่าง สิ่งแวดล้อมนอกบ้านที่เป็นปัญหาได้แก่เกสรดอกไม้ หญ้า
ต้นไม้ สปอร์ของรา
เชื้อรา Mouldsเชื้อราสามารถให้หอบหืด
โดยเฉพาะสปอร์ของเชื้อราสามารถลอยไปในอากาศ เมื่อคนที่เป็นโรคหอบหืดสูดดมเข้าไปจะเกิดอาการ
จาม คัดจมูก แน่นหน้าอก ไอ จนกระทั่งหอบหืด หากท่านแพ้เชื้อราควรจะปฏิบัติดังนี้
· เก็บกวาดหญ้าให้สะอาดหลังจากการตัดหญ้า
· เก็บกวาดใบไม้ที่ร่วงล่นให้หมด
· เก็บกวาดขยะ
กระป๋องรอบบ้านให้หมด รวมทั้งวัสดุที่จะอุ้มน้ำ
· ทางเดิน
หรือสนามหญ้าไม่ควรให้ชื้นตลอดเวลา
· เกสรดอกไม้
เกสรดอกไม้เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคภูมิแพ้ได้บ่อย
เกสรอาจจะมาจากดอกไม้ หญ้า เมื่อดูดเข้าไปก็จะเกิดอาการหอบหืดวิธีป้องกัน
· ใช้เครื่องกรองอากาศที่มีแผ่นกรองHEPA
· ช่วงที่มีเกสรดอกไม้มากให้ปิดหน้าต่างและเปิดเครื่องปรับอากาศ
· งดออกกำลังกายกลางแจ้ช่วงมีเกศรดอกไม้มาก
· ช่วงที่มีเกสรดอกไม้มากเมื่อกลับถึงบ้านให้เปลี่ยนเสื้อ
· หลีกเลี่ยงการปลูกต้นไม้ใกล้หน้าต่าง
· อย่าตากผ้ากลางแจ้ง
· อย่าดมหรือจับต้องดอกไม้ที่คุณสงสัยว่าจะแพ้
· อากาศเย็น
ผู้ที่แพ้อากาศเย็น หรือการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิอาจจะเกิดอาการหอบได้
วิธีป้องกันทำได้โดย
· ให้หายใจผ่านทางจมูกเพราะจะทำให้อากาศอุ่นขึ้น
· หากต้องหายใจทางปาก
ต้องสวมหน้ากากเพื่อเพิ่มความชื้นให้อากาศ
· ช่วงอากาศเย็นให้ออกกำลังกายในบ้าน
· ควรหลีกเลี่ยงบุหรี่
ควันไฟ กลิ่นสี กลิ่นน้ำหอม กลิ่นสารเคมี เตาแก๊ส
Sulfite
Sensitivity
· ผู้ป่วยควรหลีกเลี่ยงเบียร์
ของดอง ผลไม้แห้งเพราะอาจทำให้เกิดหอบหืดได้
Infections
ผู้ป่วยหอบหืดควรได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ทุกปีเนื่องจากไข้หวัดใหญ่ทำให้หอบหือเป็นมากขึ้น
ยา
เช่นยา NSAID เช่น aspirin
brufen diclofenac ยากลุ่มbetablockเช่น propanolol
atenolol metoprolol Rhinitis/Sinusitis
ผู้ป่วยที่มีไซนัสอักเสบหรือเยื่อบุจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ควรได้รับการรักษาด้วยยา
Antihistamine/decongestant
หรือยาพ่นsteroid ทางจมูก
Gastresophageal Reflux
ผู้ป่วยหอบหืดที่หอบเวลากลางคืนโดยเฉพาะมีอาการแน่นหน้าอกหรือ
เรอบ่อยควรปรึกษาแพทย์เพื่อรักษาภาวะกรดมากวิธีการดูแลตัวเองเบื้องต้นได้แก่
งดอาหารและน้ำก่อนนอน3ชั่วโมง ยกหัวเตียง6-8นิ้ว
•โรคหอบหืดสามารถถ่ายทอดผ่านทางพันธุกรรมได้
•เป็นเพราะแนวทางการใช้ชีวิตในยุคใหม่ เช่นการเปลี่ยนแปลงลักษณะที่อยู่อาศัย
อาหารการกินและสภาพแวดล้อม ที่สะอาดปลอดสารพิษมากขึ้น
•มารดาที่สูบบุหรี่ระหว่างตั้งครรภ์นั้นเป็นการเพิ่มโอกาสของลูกในครรภ์ที่จะเติบโตมากับโรคหอบหืดได้
•คนที่เพิ่งมีอาการหอบหืดในตอนหลัง หรือในวัยเด็กไม่เคยมีประวัติเป็นโรคหอบหืด
(Late-onset
asthma) อาจเกิดขึ้นได้หลังจากการติดเชื้อไวรัส
•สิ่งรบกวนต่างๆในที่ทำงาน
อาจนำไปสู่อาการต่างๆของโรคหอบหืดได้เช่นกัน
สิ่งกระตุ้นนั้นรวมถึง
•การติดเชื้อ เช่นไข้หวัดและไข้หวัดใหญ่
•สิ่งกระตุ้นการระคายเคืองอย่างเช่น ฝุ่นละออง
ควันบุหรี่ ควันหรือไอระเหย
• สารเคมีในสถานที่ทำงาน
•การแพ้เกสรดอกไม้ ยาชนิดต่างๆ สัตว์ ฝุ่นบ้าน
หรืออาหารบางชนิด
•การออกกำลังกายบางประเภท
เช่นในสถานที่ที่มีอากาศหนาวและแห้ง
•อารมณ์
เช่นเมื่อคุณหัวเราะหรือร้องไห้อย่างหนัก อาจกระตุ้นให้เกิดอาการหอบหืดได้รวมทั้งความเครียดด้วย
บทที่3
วิธีดำเนินการ
1. เมื่อสมัยก่อนการรักษาหอบหืดเป็นเพียงให้ยาขยายหลอดลม
bronchodilator
เท่านั้นแต่ปัจจุบันได้มีความเข้าใจกลไกการเกิดโรคหอบหืดดีขึ้นว่าโรคหอบหืด
เป็นโรคที่เกิดจากการอักเสบของหลอดลม ทำให้เยื่อบุหลอดลมหนาตัว
และมีเสมหะอุดหลอดลมปัจจุบันการรักษาโรคหอบหืด
จะอาศัยยาที่ลดการอักเสบเป็นหลักโดยอาศัยยาขยายหลอดลมเป็นตัวเสริม
ยาลดการอักเสบจะป้องกันไม่ให้หลอดลมบีบตัว
ลดการอักเสบของหลอดลมจึงป้องกันหอบหืดได้
2. นอกจากจะเปลี่ยนจากการใช้ยาขยายหลอดลมเป็นยาลดการอักเสบแล้วยังมีเครื่องมือ
Peak
flow meterเพื่อเป็นการวัดเพื่อเตือนว่าแผนการรักษายังไม่เป็นไปตามเป้าหมาย
และเตือนว่าโรคกำลังกำเริบต้องรีบให้การรักษา
3. ผู้ป่วยควรปรึกษากับแพทย์ถึงแผนการรักษา
โดยการวางแผนการรักษาแพทย์ต้องอาศัยความร่วมมือจากผู้ป่วยเป็นอันมาก
แพทย์อยากทรายว่าระหว่างที่อยู่บ้านอาการหอบหืดเป็นอย่างไรบ้างโดยผู้ป่วยควรมีสมุดประจำตัว
และคอยบันทึกความรุนแรงของโรค เพื่อไปพบแพทย์ให้นำสมุดไปพบแพทย์ด้วย
4. ต้องทราบจุดประสงค์ของการรักษา
· ไม่มีอาการหอบหืด
เช่น ไอ หายใจเสียงดังหวีด แน่นหน้าอก
· ไม่ต้องตื่นกลางคืนเพราะอาการหอบหืด
· ไม่ต้องเข้าห้องฉุกเฉิน
หรือนอนโรงพยาบาลเพราะโรคหอบหืด
· สามารถคุมอาการให้สงบลงได้และหอบหืดเรื้อรังน้อยที่สุด
· ป้องกันไม่ให้เกิดอาการกำเริบของโรค
· ยกระดับสมรรถภาพการทำงานของปอดให้ดีทัดเทียมกับคนปกติ
· สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้เหมือนคนปกติไม่ต้องหยุดเรียนหรือหยุดงาน
· หลีกเลี่ยงผลแทรกซ้อนจากยารักษาโรคหืด
· ลดอุบัติการณ์การเสียชีวิตจากโรคหอบหืด
· ใช้ยา
beta2-agonistเพื่อระงับอาการหอบให้น้อยที่สุด
· ไม่มีภาวะฉุกเฉินของอาการหอบหืด
· สามารถออกกำลังกายได้เหมือนคนปกติ
แผนการรักษาประกอบไปด้วย
แผนรักษาโรคหอบหืดเรื้อรัง
แผนรักษาหอบหืดเฉียบพลัน
แผนการรักษาหอบเฉียบพลัน
โรคหอบหืดเป็นโรคเรื้อรังโดยทั่วไปสามารถควบคุมได้ดีด้วยยา
แต่บางครั้งผู้ป่วยได้รับสิ่งกระตุ้น
ทำให้เกิดอาการหอบฉับพลันผู้ป่วยจำเป็นต้องทราบถึงอาการก่อนเกิดโรคหอบหืด
สามารถประเมินความรุนแรงของโรคหอบหืด และสามารถดูแลตัวเองในเบื้องต้นได้
การรักษาหอบหืดเฉียบพลันให้ได้ผลดีต้องประกอบไปด้วย
1. แผนการรักษาหอบหืดเฉียบพลันด้วยตัวเองที่บ้าน
2. ต้องสามารถรู้ถึงอาการเริ่มต้นของอาการหอบหืดเฉียบพลันรวมทั้งการ ประเมิน PEF
3. สามารถปรับยาตามความรุนแรงของโรคได้
4. ต้องหลีกภาวะที่กระตุ้นให้หอบหืดเป็นมากขึ้น
5. สามารถติดต่อกับแพทย์ที่รักษาได้โดยทันที
การประเมินความรุนแรงของโรคหอบหืดอาศัย การตรวจPEF ความถี่ของการไอ ความรุนแรงของการไอ อาการแน่นหน้าอก การใช้กล้ามเนื้อซี่โครงในการหายใจ
เมื่อเรื่มเกิดอาการหอบหืดเฉียบพลันต้องไม่ต้องตกใจ
ให้นั่งพักสงบใจพร้อมกับรีบรักษาดังนี้
· พ่นshort-acting
beta2-agonists ทุก20นาที 3ครั้งใน1ชั่วโมง
· ต้องหลีกภาวะที่กระตุ้นให้หอบหืดเป็นมากขึ้น
หลังจากพ่นยาแล้วให้รีบประเมินผลการรักษาโดยประเมินจากอาการหอบ
ค่า Peak
flow rate ซึ่งแบ่งการตอบสนองออกเป็น 3 รูปแบบดังนีคือ
1.ตอบสนองต่อรักษาอาการหอบหืดเฉียบพลันไม่รุนแรง
ค่า
PEF ที่ดีที่สุดในขณะที่ไม่หอบ=
|
เป็นค่าที่ได้จากากรทำ
PEF
|
ค่า
PEF ขณะหอบ=
|
เป็นค่าที่วัดได้ในขณะหอบ
ค่าที่วัดได้อยู่ระหว่าง 80% ถึง 100% ของค่า PEF ที่ดีที่สุด
|
อาการของผู้ป่วย
|
|
อาการหอบ
|
หอบขณะเดิน
นั่งไม่หอบ
|
พูด
|
พูดได้ปกติ
|
เล่น
|
นอนราบได้
|
ชีพจร
|
น้อยกว่า100ครั้ง/นาท
|
การใช้ยาในภาวะหอบเฉียบพลัน
· หลังพ่นยา
short-acting
beta2-agonists 3 ครั้งอาการดีขึ้น PEFมากกว่า80% ผู้ป่วยไม่หอบให้พ่นยาshort-acting beta2-agonists
ทุก 4 ชั่วโมงอีก 2 วัน
· ให้พ่น
inhaled
steroid ขนาด 2 เท่าของขนาดปกติ
· หลังจากดีขึ้น2วันให้กลับไปพ่นยาตามขนาดเดิม
· หลังพ่นยา
short-acting
beta 2-agonist แล้วไม่ดีขึ้นอาการแย่ลงให้ไปดูแผนการรักษาหอบหืดเฉียบพลันรุนแรงปานกลาง
ตัวอย่างรูปการพ่นยา

2.ตอบการรักษาปานกลาง
อาการหอบหืดเฉียบพลันรุนแรงปานกลาง
ค่า
PEF ที่ดีที่สุดในขณะที่ไม่หอบ=
|
เป็นค่าที่ได้จากากรทำ
PEF
|
ค่า
PEF ขณะหอบ=
|
เป็นค่าที่วัดได้ในขณะหอบ
ค่าที่วัดได้อยู่ระหว่าง 60% ถึง 80% ของค่า PEF ที่ดีที่สุด
|
อาการของผู้ป่วย
|
หอบขณะเดิน
นั่งไมเหนื่อย่หอบ
|
อาการหอบ
|
|
พูด
|
พูดเป็นประโยคได้
พูดยาวๆจะเหนื่อยิ
|
นอน
|
นอนราบได้
|
ชีพจร
|
อยู่ระหว่าง100-120
ครั้ง/นาที
|
การใช้ยาในภาวะหอบเฉียบพลัน
· ให้พ่นยา
Quick-relief
medications ทุก 20 นาที 3ครั้ง ถ้าอาการยังไม่ดีขึ้น ให้พ่นยาต่อ
· ให้พ่นยา
Quick-relief
medications 2-4
puffใน space พ่นทุก1ชั่วโมงให้ต่อ3-4ชั่วโมงจนอาการดีขึ้นติต่อกัน
4 ชั่วโมงหรือจนกระทั่ง PEF>70%หลังจากนั้นพ่นทุก4ชั่วโมง
· ให้พ่น
inhaled
steroid 2 เท่าของขนาดปกติจน PEF อยู่ใน มากว่า
80%จึงลดขนาดยาลงปกติ
· ให้กิน
steroid
เช่น prenisolone[5mg] 2เม็ดวันละ3ครั้ง
· ถ้าดีขึ้นโทรปรึกษาแพทย์เพื่อปรับแผนการรักษา
· ถ้าไม่ดีขึ้นรีบพบแพทย์
ตัวอย่างยาโรคหอบ


การใช้ยาในภาวะหอบเฉียบพลัน
· ให้พ่นยา
short-acting
beta2-agonists 2-4 puffใน
space พ่นทุก20นาทีในชั่วโมงต่อไป
· ให้พ่น
inhaled
steroid 2 เท่าของขนาดปกติจน PEF >80%
· ให้กิน
steroid
5mg 2เม็ดวันละ3ครั้ง
· ถ้าดีขึ้นให้พ่น
short-acting
beta2-agonists 2-4 puffใน
space พ่นทุก4ชั่วโมงเป็นเวลา2วันและพ่น steroid ขนาด2เท่า
· ถ้าไม่ดีขึ้นภายใน10นาทีหลังพ่นshort-acting
beta2-agonists รีบนำส่งโรงพยาบาล


ตัวอย่างรูปการใช้ยา
บทที่ 4
ผลการดำเนินการ
แนวทางการรักษาโรค
1.เป้าหมายของการรักษาก็คือ
พยายามทำให้ผู้ป่วย อยู่ในช่วงดีนานที่สุดเท่าที่จะทำได้
เพื่อให้ผู้ป่วยมีชีวิตอยู่อย่างปกติ หรือใกล้ปกติ
2.ในผู้ที่จับหืดบ่อย
และไม่สามารถมีชีวิตอย่างปกติได้ เป้าหมายของการรักษาก็คือ
การลดความรุนแรงของโรคลงด้วยการใช้ยาที่เหมาะสมอย่างเต็มที่
โดยทั่วไปการรักษาโรคหืด ในโรงพยาบาลจะกระทำเท่าที่จำเป็นหรือเมื่อมีอาการหนัก
และมีสัญญาณอันตรายซึ่งแสดงว่าผู้ป่วยหืดมีอาการรุนแรง และอาจเสียชีวิตได้
เมื่อมีอาการดีพอที่จะให้กลับไปดูแลตนเองที่บ้าน
3.ผู้ป่วยและญาติควรจะได้รับคำแนะนำในการเตรียมตัว
เพื่อปฏิบัติตนในการป้องกันและขจัดอาการเบื้องต้น
ปัญหาที่พบบ่อยในการรักษาโรคหืดประการหนึ่ง
คือ การวินิจฉัยโรคผิดพลาด มีทั้งกรณีที่วินิจฉัยโรคได้น้อยกว่าที่เป็นจริง (underdiagnosis)
และกรณีที่วินิจฉัยโรคมากกว่าที่เป็นจริง (overdiagnosis) บางครั้งการวินิจฉัยผู้ป่วยที่มีอาการเหนื่อย ไอ หอบ
หรือตรวจร่างกายได้ยินเสียงหวีดในทรวงอกอย่างใดอย่างหนึ่ง เป็นโรคหืดไปเสียหมด
และให้การรักษาด้วยยาขยายหลอดลม
ทั้งที่ผู้ป่วยอาจเป็นโรคอื่นที่ต้องการการรักษาที่แตกต่างออกไป
สำหรับผู้ป่วยที่มาบอกแพทย์ว่าตนเองเป็นหอบหืด
หรือเคยได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคหืด
ก็ควรได้รับการวิเคราะห์ใหม่ว่าเป็นหืดจริงหรือไม่
บางครั้งอาจจำเป็นต้องตรวจเพิ่มเติม หรือทำการทดสอบความไวของหลอดลมเพิ่มเติม
แต่ในทางปฏิบัติแล้ว ไม่นิยมทำการทดสอบดังกล่าวกับผู้ป่วยทุกราย
เนื่องจากไม่มีข้อบ่งชี้ที่ชัดเจน
4.การใช้ยารักษาจะเป็นไปอย่างมีขั้นตอน
โดยมีขนาด และจำนวนยาที่ใช้มากน้อยตามความรุนแรงของโรค การออกกำลังกายที่เหมาะสม
เช่น การว่ายน้ำเป็นการช่วยฝึกควบคุมการหายใจให้ดี
พร้อมกับมีการออกกำลังกล้ามเนื้อด้วย ผู้ป่วยควรใช้ชีวิตอย่างถูกสุขลักษณะ
ไม่สูบบุหรี่ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และระมัดระวังอาหารบางอย่างที่กระตุ้นการจับหืด
เช่น อาหารทะเล
5.ยาที่ใช้รักษาโรค มี 2
ประเภท คือ ยาควบคุม หรือยาป้องกัน
ออกฤทธิ์ในการควบคุม และป้องกันไม่ให้เกิดอาการเฉียบพลัน โดยลด
และควบคุมการอักเสบในหลอดลม
ซึ่งมีผลในการลดความไวผิดปกติของทางเดินหายใจต่อสิ่งกกระตุ้นผู้ป่วยต้องใช้สม่ำเสมอ
และในขนาดที่ถูกต้องตามคำแนะนำของแพทย์ ยาบรรเทาอาการ ออกฤทธิ์ขยายหลอดลม
ช่วยบรรเทาอาการหอบ
มีคุณสมบัติทำให้ลดการตีบตัวของหลอดลมในระหว่างที่มีการจับหืดเฉียบพลัน
จึงควรใช้เฉพาะเมื่อมีอาการเท่านั้น วิธีการใช้ยาที่ดีที่สุด คือ การสูดเข้าทางปาก
ซึ่งต้องคอยฝึกหัด และตรวจสอบให้ถูกต้องอยู่เสมอ
6.ยาขยายหลอดลม
ใช้เพื่อขยายหลอดลม ลดอาการหอบเหนื่อย ได้แก่ ยา Ventolin, Bricanyl,
Meptin ทั้งชนิดยาเม็ดรับประทานและยาพ่น รวมทั้งยาพ่น Berodual
และ Combivent เป็นต้น
7.ยาต้านการอักเสบ ใช้ควบคุมโรคให้เข้าสู่ระยะสงบได้แก่
ยาพ่นที่มีส่วนประกอบของสเตอรอยด์ เช่น Pulmicort, Flixotide,
Symbicort, Seretide และยารับประทาน ได้แก่ Singulair,
Nuelin SR, Xanthium เป็นต้น
การรักษาอาการจับหืดขั้นรุนแรง
1.อาการจับหืดขั้นรุนแรงถือว่าเป็นภาวะฉุกเฉินที่ต้องให้การรักษาอย่างเต็มที่
ผู้ป่วยจะมีอาการหอบมาก หายใจลำบาก และก่อให้เกิดภาวะหายใจล้มเหลว
2.การรักษาที่ห้องฉุกเฉินโดยการประเมินความรุนแรง
ให้ออกซิเจน ติดตามระดับออกซิเจนในเลือด
พิจารณาเลือกใช้ยาขยายหลอดลมชนิดที่ออกฤทธิ์เร็ว
3.หากมีข้อบ่งชี้
อาจต้องใส่ท่อช่วยหายใจ และใช้เครื่องช่วยหายใจ
4.ย้ายผู้ป่วยไปที่หออภิบาลผู้ป่วยหนัก
(ICU)
5.แก้ไขภาวะผิดปกติอื่นๆ
ที่เกิดร่วมด้วย เช่น ดุลกรด-ด่าง ดุลอิเล็กโตรลัยต์
6.ติดตามอาการอย่างใกล้ชิดเป็นเวลาอย่างน้อย
24-48 ชั่วโมง
บทที่5
สรุปและเสนอแนะ
หลักในการรักษาโรคหืด
1.หลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้และสิ่งกระตุ้นที่ทำให้เกิดอาการ? เมื่อสังเกตว่าสารก่อภูมิแพ้หรือสิ่งกระตุ้นใดทำให้เกิดอาการหอบควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสสิ่งนั้น?
การทดสอบภูมิแพ้ทางผิวหนังโดยวิธีสะกิด(skin prick test)? อาจช่วยบอกชนิดของสารก่อภูมิแพ้ที่กระตุ้นให้ผู้ป่วยมีอาการได้
2. การรักษาด้วยยา? ยาที่ใช้ในการรักษาโรคหืด? ปัจจุบันแบ่งเป็น?
2? ประเภท
?ประเภทที่ช่วยบรรเทาอาการ?
ได้แก่? ยาขยายหลอดลม? มีทั้งชนิดพ่นสูด?
ชนิดกินและฉีด? ใช้เพื่อขยายหลอดลมในช่วงที่มีอาการหอบหืดเนื่องจากหลอดลมตีบแคบ
ประเภทที่ใช้ป้องกัน? เป็นยาที่มีฤทธิ์ลดการอักเสบ? ใช้เพื่อลดการอักเสบของหลอดลมและป้องกันไม่ให้เกิดอาการหอบขึ้นอีก??
ยาประเภทนี้ต้องใช้ติดต่อกันเป็นเวลานานตามความรุนแรงของโรค?
ภายใต้คำแนะนำของแพทย์? ยาประเภทนี้แบ่งเป็น?
2? กลุ่มด้วยกัน? คือ
ยาป้องกันที่มิใช่สเตียรอยด์? มีทั้งในรูปยาพ่นและยากิน? ได้แก่
– Cromolyn
sodium? มีทั้งในรูปยาพ่นสูดและยาพ่นผ่านเครื่องพ่นฝอยละออง?
มักใช้ในเด็ก? ผลข้างเคียงน้อย? ราคาค่อนข้างสูง? และต้องใช้วันละหลายครั้ง
– Theophylline
เป็นยากิน อาจมีผลข้างเคียง เช่น ใจสั่น คลื่นไส้ อาเจียนได้
ต้องระวังในการใช้ร่วมกับยาอื่น เนื่องจากมีผลต่อการขับยาบางชนิดออกจากร่างกายได้?
มีข้อดีคือ ราคาไม่แพง
– ยาขยายหลอดลมชนิดออกฤทธิ์ยาว(Long
acting ?2- agonist) มีทั้งในรูปยากิน
และยาพ่น? แต่นิยมใช้ในรูปยาพ่นมากกว่า
โดยใช้ร่วมกับยาป้องกันชนิดสเตียรอยด์
– Leukotriene
receptor antagonist เช่น Montelukast? เป็นยากิน?
ใช้ได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่? ผลข้างเคียงน้อย?
แต่ราคาค่อนข้างสูง
ยาป้องกันชนิดสเตียรอยด์? มีทั้งยาพ่นสูด? ยากินและฉีด? ยากินและยาฉีดออกฤทธิ์ได้ดี?
แต่มีผลข้างเคียงสูง? เช่น? อาจยับยั้งการเจริญเติบโตของเด็ก? ความดันโลหิตสูงขึ้น?
น้ำตาลในเลือดสูง? หรือเกิดกระดูกผุได้?
จึงมักใช้ในระยะสั้นเพื่อลดการอักเสบของหลอดลมในช่วงมีอาการมาก?
ส่วนการใช้เพื่อเป็นยาป้องกันซึ่งต้องใช้ต่อเนื่องเป็นเวลานาน?
นิยมใช้ในรูปแบบของยาพ่นสูดมากกว่า? เนื่องจากมีผลข้างเคียงน้อยกว่า
รูปแบบของยาพ่นสูด? ที่ใช้โดยทั่วไป? มี? 2?
รูปแบบ
ยาพ่นสูดชนิดที่ใช้ก๊าซ?
(Metered-dose inhaler, MDI)
เป็นชนิดที่นิยมใช้กันมานานตั้งแต่เริ่มต้น? ตัวขับเคลื่อนในยาพ่นสูดชนิดนี้อย่างแรกเป็นสาร?
Chlorofluorocarbon? (CFC)? ในระยะหลังพบว่าอาจมีอันตราย? เนื่องจากสามารถทำลายชั้นโอโซนในบรรยากาศโลก?? ทำให้รังสีอุลตร้าไวโอเลตบีส่องกระทบผิวโลกได้มากขึ้น
จึงอาจทำให้มีผลกระทบต่อสุขภาพของประชากรโลก? เช่น? เกิดมะเร็งผิวหนัง? ต้อกระจก? เป็นต้น?
และมีผลกระทบต่อพืชและสัตว์ชนิดอื่นได้ด้วย? ทั่วโลกจึงมีการรณรงค์เพื่อให้เลิกการใช้สาร?
CFC? ทั้งหมดรวมทั้งที่ใช้เป็นตัวขับเคลื่อนในยาพ่น MDI? โดยมีการผลิตยาพ่นสูดที่ใช้ก๊าซชนิดอื่นที่ไม่ใช่? CFC? ขึ้นมาใช้แทน? โดยในประเทศไทยคณะกรรมการอาหารและยา?
กระทรวงสาธารณสุขมีนโยบายจะเลิกสั่งยาพ่นสูดที่มีสาร? CFC? เข้าในประเทศ? ภายในเร็วๆ นี้ ยาพ่น? MDI อาจใช้ร่วมกับอุปกรณ์อื่นในเด็กเล็ก (กระบอกพ่นยา & หน้ากาก) การพ่นเข้าปากต้องอาศัยวิธีการที่ยุ่งยากกว่ายาสูดหรือยาพ่นผ่านเครื่องพ่นฝอยละออง
แต่มีข้อดีคือ ราคาไม่สูง
ยาสูดแบบผง?
(Dry powder inhaler)
ใช้ง่ายและสะดวก? ไม่ต้องใช้ร่วมกับอุปกรณ์อื่น? แต่ราคามักสูงกว่ายาพ่นสูดชนิดแรก
หากผู้ป่วยโรคหืดที่มีสาเหตุจากภูมิแพ้ยังมีอาการต่อเนื่องโดยที่หลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้และสิ่งกระตุ้น? ดูแลสุขภาพทั่วไปอย่างดีและใช้ยาเต็มที่แล้วยังควบคุมอาการไม่ได้? อาจพิจารณาฉีดวัคซีนภูมิแพ้ร่วมด้วยได้
โดยสรุป? โรคหืดเป็นโรคที่พบได้บ่อยทั้งเด็กและผู้ใหญ่ในประเทศไทย? และมีแนวโน้มที่จะเพิ่มมากขึ้นในอนาคต? โรคหืดเป็นโรคที่ผู้ป่วยต้องทุกข์ทรมานและมีคุณภาพชีวิตแย่ลง?
หากมีอาการรุนแรงอาจเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้? ผู้ป่วยควรรับการตรวจวินิจฉัยและรักษาโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ? ไม่ควรซื้อหรือปรับขนาดยาเอง? และต้องมาพบแพทย์ตามนัด?
เพื่อประเมินผลการรักษาและปรับขนาดยาให้เหมาะสม? ซึ่งจะทำให้ผู้ป่วยโรคหืดสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ? และมีคุณภาพชีวิตที่ดีเช่นเดียวกับคนทั่วไป
บรรณานุกรม
ภาคผนวก


ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น