วันอังคารที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2558

โครงงาน
การพัฒนาสื่อเพื่อการศึกษาผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ต เรื่อง โรคหัวใจผู้ทำโครงงาน
          เด็กหญิงกุลธิดา  อินทนัย     ม.3/3     เลขที่ 7
นางยุพิน  โพธ์ดอก
อาจารย์ที่ปรึกษา
         โครงงานนี้ป็นส่วนหนึ่งของวิชาโครงงานคอมพิวเตอร์ ง.23102
ประจำปีการศึกษาที่ 1/2558
โรงเรียนมารดาวนารักษ์
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา เขต 3






บทคัดย่อ
“โรคหัวใจ” นี้เป็นโครงงานพัฒนาสื่อเพื่อการศึกษา ลักษณะเด่นของโครงงานนี้ คือ เป็นโครงงานที่ใช้คอมพิวเตอร์ในการผลิตสื่อเพื่อการศึกษา ซึ่งผู้จัดทำจะใช้เว็บไซต์ในการผลิตสื่อเพื่อการศึกษาเรื่อง “โรคหัวใจ” เป็นเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาหลากหลาย โดยสามารถใช้เป็นเรื่องมือสื่อสาร การประกาศข่าวสาร การแสดงความคิดเห็น การเผยแพร่ผลงาน ในหลายด้านไม่ว่าจะเป็น ด้านอาหาร การเมือง เทคโนโลยี หรือข่าวสารปัจจุบัน











สารบัญ
บทที่ 1 บทนำ                                                        1-2
บทที่ 2 เอกสารและทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง                            3-24
บทที่ 3 วิธีการดำเนิน                                               25-26
บทที่ 4 ผลการดำเนินการ                                         27
บทที่ 5 สรุปผลและข้อเสนอแนะ                                  28
บรรณานุกรม                                                       29
                                                          










บทที่ 1
บทนำ
แนวคิดที่มาของโครงงาน
เทคโนโลยีทางการสื่อสาร เทคโลยีทางด้านคอมพิวเตอร์ในปัจจุบัน เริ่มมีบทบาทในการดำเนินชีวิตของมนุษย์และมีส่วนช่วยสนับสนุนสื่อทางด้านการศึกษาอีกด้วยโดยสื่อสมัยใหม่นิยมเป็น สื่อการเรียนผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ตเพราะสะดวกรวดเร็ว และเข้าถึงได้ง่าย
โรคหัวใจจัดเป็นปัญหาหลักทางด้านสาธารณสุขที่พบมากขึ้น โดยเฉพาะในประเทศไทยพบว่าคนที่มีอาการหลายอาการสัมพันธ์กับหัวใจมีไม่มากนักแต่          มีปัญหาเกี่ยวกับโรคหัวใจ อีกทั้งยังมีปัญหาการเจ็บหน้าอกเนื่องมาจากโรคหัวใจ มีคนจำนวนมากที่เข้าใจผิดอย่างยิ่งเนื่องมาจากการขาดเลือดหรือเลือดไม่พอในการเลี้ยงร่างกายของคนเรา
  ดังนั้นกลุ่มของข้าพเจ้าจึงคิดทำโครงงานเกี่ยวกับการพัฒนาสื่อทางการคิดโรคหัวใจ จึงได้รวบรวมข้อมูล เนื้อหาความรู้เกี่ยวกับโรคหัวใจและจัดทำเป็นเว็บบล็อกสนใจและรักสุขภาพของตนเอง





วัตถุประสงค์
2.1เพื่อศึกษาเรื่อง โรคหัวใจ
2.2เพื่อเป็นสื่อทางการศึกษาผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ต
2.3เพื่อเป็นประโยชน์กับบุคคลที่สนใจทั่วไป
ขอบเขตของโครงงาน
1.ศึกษาสาเหตุการเกิดโรคหัวใจ
2.ศึกษาพฤติกรรมที่เสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจ
3.เพื่อศึกษาโรคที่มาพร้อมกับโรคหัวใจ
ผลที่คาดว่าจะได้รับ
1.ผู้คนจะหายจากการเป็นโรค
2.เป็นการนำความรู้ที่ได้จากการศึกษาเกี่ยวกับโรคหัวใจ
3.เป็นแนวทางการช่วยเหลือผู้ที่เป็นโรคหัวใจ


                                  


บทที่2
ทฤษฎีและเอกสารที่เกี่ยวข้อง
โรคหัวใจ
โรคหัวใจคร่าชีวิตคนทั่วโลกถึงปีละ 12,000,000 คนต่อปี และจากสถิติยังแสดงว่า โรคหัวใจเป็นสาเหตุการตายอันดับหนึ่งของประชากรที่เป็นผู้ใหญ่ หัวใจเป็นอวัยวะที่เป็นกล้ามเนื้อ ถ้าเปรียบเทียบกับเครื่องจักรที่เราเห็นกันอยู่ทั่วไป มันก็คงทำงานเหมือนเครื่องปั้มน้ำ โดยมีหน้าที่สูบฉีดโลหิตไปยังอวัยวะต่างๆ ทั่วร่างกาย
โรคหัวใจ ที่อาการผิดปกติที่เกิดขึ้นเฉียบพลัน
อาการผิดปกติเบื้องต้น

1. เหนื่อยเวลาออกกําลังกาย เพราะหัวใจทําหน้าที่ในการสูบฉีดโลหิตไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกาย ขณะที่เราออกกําลังกาย หัวใจจะทํางานหนักมากขึ้น ปกติเวลาที่เราออกกำลังกายไปถึงระดับหนึ่งจะรู้สึกเหนื่อย แต่ในรายของคนที่มีอาการเริ่มต้นของ โรคหัวใจ แม้ออกกำลังกายเพียงเล็กน้อย จะรู้สึกเหนื่อยผิดปกติอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ดังนั้นหากออกกำลังกาย แล้วรู้สึกเหนื่อยง่ายผิดปกติ อาจเป็นข้อบ่งชี้ได้ว่า คุณอาจเป็นโรคหัวใจ
 2. เจ็บหน้าอกหรือแน่นหน้าอก มักพบบ่อยในคนที่เป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ และไขมันอุดตันในหลอดเลือดหัวใจ อาการดังกล่าวจะมีลักษณะเฉพาะคือ รู้สึกเหมือนหายใจอึดอัด และแน่นบริเวณกลางหน้าอก เหมือนมีของหนักทับอยู่ หรือรัดไว้ให้ขยายตัวเวลาหายใจ โดยมากอาการนี้ จะแสดงออกเวลาที่หัวใจต้องทำงานหนัก เช่น ระหว่างการออกกำลังกาย หรือใช้แรงมากๆ เป็นต้น ซึ่งเป็นอีกหนึ่งสัญญาณเตือนว่า อาจเป็น โรคหัวใจ

 3. ภาวะหัวใจล้มเหลว เกิดจากการที่หัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างของร่างกายได้อย่างเพียงพอ โดยผู้ป่วยจะเริ่มมีอาการเหนื่อย ทั้งที่ออกกำลังกายเพียงนิดหน่อย หรือเหนื่อยทั้งที่นั่งอยู่เฉยๆ ในกรณีที่เป็นมาก อาจทำให้ไม่สามารถนอนราบได้เหมือนปกติ เพราะจะรู้สึกเหนื่อยเวลาหายใจ และอึดอัดตรงหน้าอก นอกจากนั้น อาจมีอาการหอบจนต้องตื่นขึ้นมาหอบกลางดึกอีกด้วย อาการภาวะหัวใจล้มเหลวนี้ หากไม่รีบไปพบแพทย์โดยเร็ว และไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที อาจมีอันตรายถึงชีวิตได้

4. ใจสั่นและหัวใจเต้นผิดจังหวะ ปกติหัวใจของเราจะเต้นด้วยจังหวะที่สม่ำเสมอประมาณ 60 -100 ครั้ง/นาที แต่สำหรับคนที่มีอาการหัวใจเต้นผิดจังหวะ อาจขยับไปถึง150 -250 ครั้ง/นาที ซึ่งอัตราการเต้นของหัวใจที่ไม่สม่ำเสมอนี้ จะทำให้เหนื่อยง่าย ใจสั่น หายใจไม่ทัน

 5. เป็นลมหมดสติ คืออีกหนึ่งอาการที่เตือนว่าคุณอาจเป็น โรคหัวใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้สูงอายุ ซึ่งมีอัตราเสี่ยงต่อการเป็นลมหมดสติสูง เนื่องจากจังหวะการเต้นของหัวใจไม่สม่ำเสมอ เพราะเซลล์ซึ่งทำหน้าที่ให้จังหวะไฟฟ้าในหัวใจเสื่อมสภาพ ส่งผลให้หัวใจเต้นช้าลง และส่งเลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ จนทำให้เป็นลมไปชั่วคราวได้ ทั้งนี้ การเป็นลมหมดสติ มักจะเกิดในท่ายืนมากกว่านั่ง ทำให้ขณะล้มลงศีรษะมีโอกาสฟาดพื้น และเกิดการกระทบกระเทือนต่อสมองได้มากกว่า ดังนั้น ใครที่เป็นลมบ่อยๆ ควรรีบไปพบแพทย์ เพราะอาจเป็น โรคหัวใจ ได้

           6. หัวใจหยุดเต้นกะทันหัน ในกรณีนี้มักเกิดจากความผิดปกติของเซลล์หัวใจโดยตรง และมักเกิดกับคนปกติที่ไม่มีอาการของ โรคหัวใจ มาก่อนล่วงหน้า ซึ่งหากมีอาการหัวใจหยุดเต้นกะทันหัน ถ้าไม่ได้รับการช่วยเหลือที่รวดเร็ว อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้

โรคหัวใจ ที่อาการผิดปกติที่สังเกตได้จากร่างกาย

          นอกจากความผิดปกติชนิดเฉียบพลันแล้ว อาการบ่งชี้ที่สังเกตได้จากร่างกายของเราเอง ก็เป็นอีกหนึ่งความผิดปกติที่เตือนให้รู้ว่า คุณอาจเป็น โรคหัวใจ และควรไปพบแพทย์โดยด่วนได้เช่นกัน เป็นต้นว่า...

          
 1. ขาหรือเท้าบวมโดยไม่ทราบสาเหตุ เมื่อกดดูแล้วมีรอยบุ๋มตามนิ้วที่กดลงไป ซึ่งหากเกิดขึ้นกับใคร ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจเช็คโดยด่วน เพราะนั่นอาจเป็นสัญญาณเตือนให้รู้ว่า เวลานี้คุณอาจอยู่ในภาวะหัวใจล้มเหลวโดยที่ไม่รู้ตัว
               
          
 
2. ปลายมือ ปลายเท้า และริมฝีปากมีลักษณะเขียวคล้ำ อาการดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า ทางเดินของเลือดในหัวใจห้องขวากับห้องซ้ายมีการเชื่อมต่อที่ผิดปกติ ส่งผลให้เกิดการผสมของเลือดแดงกับเลือดดํา และทําให้ปริมาณของออกซิเจนในเลือดมีปริมาณน้อยล

โรคหัวใจ ที่อาการผิดปกติที่ตรวจพบขณะตรวจร่างกาย
 
คำอธิบาย: ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ รูปภาพผู้ที่เป็นโรคหัวใจการไปพบแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพประจำปี เป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะทำให้เราสามารถคาดคะเนความเสี่ยงต่อการเกิด โรคหัวใจ ได้ เช่น ตรวจเลือดแล้วพบว่าเป็นเบาหวาน หรือมีไขมันในเลือดสูง ก็อาจสันนิษฐานได้ว่า มีความเสี่ยงต่อการเกิดหลอดเลือดหัวใจตีบได้เช่นกัน หรือเอ็กซเรย์แล้วพบว่า ขนาดของหัวใจโตกว่าปกติ ซึ่งอาจเกิดจากหลอดเลือดหัวใจตีบ ลิ้นหัวใจรั่ว และกล้ามเนื้อหัวใจบีบตัวอ่อนกำลังลง ทำให้ห้องต่างๆ ของหัวใจขยายขนาดใหญ่ขึ้น ทั้งนี้ ในกรณีที่ตรวจพบว่ามีความเสี่ยงสูง ไม่ควรนิ่งนอนใจ ควรรีบไปพบแพทย์โดยด่วน
  

 




นี้ผู้ที่มีอาการเป็นโรคหัวใจ
ปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคหัวใจ
สามารถแบ่งปัจจัยเสี่ยงของโรคหัวใจได้ดังนี้
 1. ปัจจัยเสี่ยงที่ไม่สามารถควบคุมได้ ซึ่งได้แก่
-          อายุ : โดยปกติแล้ว ความเสี่ยงของโรคหัวใจจะเพิ่มขึ้นตามอายุที่เพิ่มขึ้น
-          พันธุกรรม : ผู้ที่มีประวัติครอบครัว ซึ่งพ่อหรือแม่เป็นโรคหัวใจ จะมีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ
-          เพศ : ผู้ชายจะมีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจมากกว่าผู้หญิง

2. ปัจจัยเสี่ยงที่สามารถควบคุมได้ ซึ่งได้แก่
-          โรคความดันโลหิตสูง : การปล่อยให้ความดันโลหิตสูงอยู่เป็นเวลานาน ๆ โดยไม่ควบคุม จะทำให้หัวใจต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อสูบฉีดเลือดมาเลี้ยงร่างกาย กล้ามเนื้อหัวใจจะหนาขึ้น หัวใจจะโตขึ้น หลอดเลือดตีบแข็งและอุดตัน กล้ามเนื้อหัวใจตาย และนำไปสู่ภาวะหัวใจล้มเหลวในที่สุด
-          การสูบบุหรี่ : ผู้ที่สูบบุหรี่จะมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจมากกว่าผู้ที่ไม่สูบบุหรี่ 2 – 4 เท่า เนื่องจากสารที่อยู่ภายในบุหรี่จะทำให้เซลล์ที่เยื่อบุผนังหลอดเลือดเสื่อม ทำให้หลอกเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจก็จะทำให้หัวใจขาดเลือด ซึ่งนำไปสู่สภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตาย
-          ระดับไขมันในเลือด : ผู้ที่มีระดับไขมันแอลดีแอลโคเลสเตอรอล(LDL - Cholesterol)สูง จะมีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจสูงขึ้น โดยไขมันดังกล่าวจะทำให้ผนังหลอดเลือดหนาตัวขึ้น และหลอดเลือดตีบแคบลง เลือดไหลเวียนได้น้อยลง ในที่สุดหลอดเลือดหัวใจก็อุดตันและเกิดกล้ามเนื้อหัวใจตาย
-          โรคเบาหวาน : เบาหวานจะทำให้ความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดและหัวใจสูงขึ้น  โดยเชื่อว่า เบาหวานจะทำให้หลอดเลือดที่ไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ เสื่อมลง ถ้าคุณเป็นโรคเบาหวานจำเป็นอย่างยิ่งที่คุณจะต้องควบคุมน้ำตาลในเลือดและปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ ให้มากที่สุด
-          การขาดการออกกำลังกาย : ผู้ที่ไม่ค่อยได้ออกกำลังกายจะมีความเสี่ยงจากโรคหลอดเลือดและหัวใจสูงขึ้น การออกกำลังกายเป็นประจำ จะช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดและหัวใจได้ และยังสามารถช่วยควบคุมปัจจัยความเสี่ยงอื่น ๆ เช่นความดันโลหิต ระดับไขมันโคเลสเตอรอลในเลือด เบาหวานและน้ำหนักที่มากเกิน หรืออ้วน
-          ความอ้วน : ผู้ที่มีดัชนีมวลกายตั้งแต่ 30 กก. / เมตร2 ถือว่ามีความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดและหัวใจ โดยสามารถคำนวณดัชนีมวลกายได้จากน้ำหนักตัว(หน่วยเป็นกิโลกรัม) หารด้วยส่วนสูง(หน่วยเป็นเมตร) ยกกำลัง 2 อย่างไรก็ตามหากคุณมีปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ ร่วมด้วย แม้มีดัชนีมวลกายตั้งแต่ 25 กก. / เมตร2 ก็ถือว่ามีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจเพิ่มขึ้น
คำอธิบาย: ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ รูปภาพผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงต่อโรคหัวใจ 




ผู้ที่มีอาการเสี่ยงต่อเป็นโรคหัวใจ
 
 




คำอธิบาย: ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ รูปภาพผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงต่อโรคหัวใจ

ปัจจัยเสี่ยงสามารถควบคุมได้โดย

-          เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ เช่น ทานปลา ผักและผลไม้ให้มากขึ้น ลดอาหารจำพวกไขมัน อาหารที่มีกะทิผสม เนื้อติดมัน กุ้ง หอย ปู อาหารที่ปรุงด้วยการทอดน้ำมันหรือเนย
-          ออกกำลังกายตามสภาพความสมบูรณ์ของร่างกาย(กรณีที่คุณมีโรคประจำตัว ควรปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับการออกกำลังกายที่เหมาะสม)
-          รับประทานยาอย่างต่อเนื่องและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างสม่ำเสมอ เพื่อควบคุมโรคซึ่งคุณเป็นอยู่ เช่น ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง และเบาหวาน
-          เลิกสูบบุหรี่อย่างเด็ดขาด เพราะนอกจากจะเป็นการทำร้ายตัวเองแล้วยังทำร้ายคนรอบ ๆ ข้างของคุณอีกด้วย

สาเหตุโรคหัวใจ
ปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจ
1. ไม่ออกกำลังกาย
2. น้ำหนักตัวที่มากเกินปกติ
3. ระดับไขมันในเลือดสูง
4. คนที่เป็น
โรคเบาหวาน
5. ความดันโลหิตสูง
6. สูบบุหรี่
ชนิดของโรคหัวใจ
โรคหัวใจมีหลายชนิด แบ่งเป็นชนิดใหญ่ ๆ ได้ดังนี้
1. โรคหลอดเลือดหัวใจ
2. โรคกล้ามเนื้อหัวใจ กล้ามเนื้อหัวใจพิการหรือกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบจากไวรัส
3. โรคลิ้นหัวใจพิการจากไข้รูห์มาติก
4. โรคลิ้นหัวใจอักเสบจาการติดเชื้อ
5. โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด
6. โรคหรือความพิการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับหัวใจ
1. โรคหลอดเลือดหัวใจ

กล้ามเนื้อหัวใจ ต้องอาศัยอาหารและออกซิเจน จากหลอดเลือดแดงโคโรนารีย์ที่มาเลี้ยงหัวใจ ถ้าหลอดเลือดหัวใจตีบหรือตัน กล้ามเนื้อหัวใจก็จะขาดอาหารและออกซิเจน ทำให้การทำงานหัวใจเสียไป หัวใจไม่สามารถสูบฉีดโลหิตไปเลี้ยงร่างกายได้ตามปกติ เกิดอาการกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด

ในกรณีหลอดเลือดหัวใจตีบ อาการกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดมักเกิดเวลาออกกำลังกาย ซึ่งหัวใจต้องการอาหารและออกซิเจนมากกว่าปกติ เมื่อพักอาการก็หายไปภายในเวลาเป็นนาทีหรือหลายนาที หากหลอดเลือดหัวใจตีบตันจนทำให้กล้ามเนื้อหัวใจตายไป หัวใจไม่สามารถสูบฉีดโลหิตไปเลี้ยงร่างกายได้ตามปกติ เหลือกล้ามเนื้อหัวใจทำงานน้อยลง อาการรุนแรงกว่าหลอดเลือดหัวใจตีบ อาการนานเป็นชั่วโมงหรือหลายชั่วโมง ถ้าเป็นมากก็จะเกิดอาการหัวใจวายได้

ส่วนใหญ่ผู้ป่วยมาหาแพทย์ด้วยอาการจุกแน่นหน้าอกเป็นอาการนำ แต่ก็ไม่น้อยที่ผู้ป่วยไม่เจ็บหน้าอกแต่มาหาแพทย์ด้วยอาการ แน่นยอดอกคล้ายท้องอืดท้องเฟ้อ หรือโรคกระเพาะอาหาร บางรายมาด้วยอาการแทรกซ้อน เช่น อาการหอบเหนื่อยจากหัวใจวายเลือดคั่ง หรือหัวใจเต้นผิดจังหวะ รวมทั้งอาจเสียชีวิตก่อนมาพบแพทย์

2.โรคกล้ามเนื้อหัวใจพิการ หรือ กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบจากไวรัส
โรคของกล้ามเนื้อหัวใจอาจเป็นตั้งแต่กำเนิดหรือเกิดจากภายหลังก็ได้ ในพวกที่เป็นภายหลังชนิดที่พบมากที่สุดคือ กล้ามเนื้อหัวใจพิการโดยไม่ทราบสาเหตุ โรคกล้ามเนื้อหัวใจพิการโดยไม่ทราบสาเหตุยังแบ่งเป็น 3 ชนิด คือ
-ชนิดกล้ามเนื้อหัวใจหนาผิดปกติ
-ชนิดกล้ามเนื้อหัวใจพิการขยายตัวไม่ดีเท่าปกติจากโรคบางชนิดที่เข้าไปแทรกในกล้ามเนื้อหัวใจ
-และชนิดกล้ามเนื้อหัวใจไม่หนาแต่หัวใจขยายตัวโตขึ้นบีบตัวได้ไม่ดีเท่าปกติ
โรคกล้ามเนื้อหัวใจพิการที่พบบ่อยคือ โรคกล้ามเนื้อหัวใจพิการโดยไม่ทราบสาเหตุ ชนิดที่หัวใจขยายตัวโตขึ้นและบีบตัวได้ไม่ดีเท่าปกติ (Dilated Cardiomyopathy) โรคนี้ผลจากความสามารถในการบีบตัวของกล้ามเนื้อหัวใจลดลง ทำให้เลือดไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆ ไม่พอ ร่างกายปรับตัวโดยเพิ่มขนาดของหัวใจเพื่อเพิ่มปริมาณเลือดที่บีบออกจากหัวใจ ทำให้หัวใจผู้ป่วยด้วยโรคนี้มีขนาดหัวใจที่โตมาก เรียกทางแพทย์ว่า “ Dilated Cardiomyopathy” อาการที่สำคัญที่ตามมาคือ เหนื่อยง่าย ถ้าเป็นมากมีอาการบวมและเหนื่อยหอบของโรคหัวใจวายเลือดคั่ง โรคของกล้ามเนื้อหัวใจชนิดนี้ไม่ทราบสาเหตุที่เป็น แต่บางครั้งอาจพบตามหลังกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบจากไวรัสหรือเกิดภายหลังการ ได้รับสารพิษบางอย่าง เช่น โคบอล์ท ยารักษาโรคมะเร็ง
ไวรัสหลายชนิดทำให้เกิด โรคกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบได้ แต่ผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้ มักมีประวัติอาการไข้ อาการทางเดินหายใจส่วนบนอักเสบ ต่อมาเริ่มมีอาการเหนื่อยง่ายจากกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบทำให้การบีบตัวไม่ดี ส่วนใหญ่จะเป็นไม่มาก อาจไม่ได้มาพบแพทย์ ส่วนน้อยที่กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบมากจนทำให้เกิดอาการหัวใจวายเลือดคั่ง เหนื่อยมากจนต้องพบแพทย์ จนถึงขั้นเสียชีวิตได้

3. โรคลิ้นหัวใจพิการจากไข้รูห์มาติก
ความพิการของลิ้นหัวใจมี 2 แบบ คือ ลิ้นหัวใจตีบและลิ้นหัวใจรั่ว ในบางรายพบทั้งลิ้นหัวใจตีบและลิ้นหัวใจรั่วร่วมกัน สาเหตุส่วนใหญ่ในบ้านเราเกิดจาก “ไข้รูห์มาติก” โรคไข้รูห์มาติกนี้จะเริ่มเป็นในเด็กช่วงวัยเข้าเรียน อายุระหว่าง 5-12 ปี ไข้รูห์มาติกเกิดตามหลังการติดเชื้อแบคทีเรียที่มีชื่อว่า “ เสตปโตคอคคัส” ในช่องปาก ร่างกายเกิดปฏิกริยาภูมิคุ้มกันต่อเชื้อแบคทีเรีย แต่ปฏิกริยาภูมิคุ้มกันเป็นชนิดไวเกิน ทำให้เกิดปฏิกิริยาต่อต้านเนื้อเยื่อที่ปกติด้วย เกิดเป็นโรค “ไข้รูห์มาติก” ผู้ป่วยมีอาการไข้ ปวดข้อ ข้อบวม ผื่นที่ผิวหนัง และเกิดหัวใจอักเสบได้ ต่อมาเกิดลิ้นหัวใจอักเสบเรื้อรัง เกิดภาวะลิ้นหัวใจพิการ (ตีบหรือรั่ว) อาการแสดงของลิ้นหัวใจพิการจะเกิดได้ตั้งแต่วัยเด็กไปจนถึงวัยชรา อาการจะขึ้นกับความรุนแรงของการตีบหรือรั่วของลิ้นหัวใจ ความผิดปกติเกิดได้ที่ลิ้นหัวใจทุกลิ้น แต่พบมากที่สุด คือ ลิ้นหัวใจไมตรัล รองลงมาคือ ลิ้นหัวใจเอออร์ติก ภาวะลิ่นหัวใจพิการจาก ลิ้นหัวใจไมตรัลตีบ มักพบบ่อยในหญิงวัยเจริญพันธุ์ อาการคนเป็นโรคลิ้นหัวใจไมตรัลตีบ มักเป็นอาการของโรคหัวใจวายเลือดคั่ง จากการที่เลือดไหลผ่านจากหัวใจห้องบนลงสู่หัวใจห้องล่างไม่ได้ ทำให้น้ำท่วมปอด มีอาการเหนื่อย มึนงง บวม และมีการติดเชื้อทางเดินหายใจได้ง่าย เป็นต้น
หลักการรักษาทั่วไป ในโรคลิ้นหัวใจรั่ว แพทย์จะใช้ยาก่อน เพื่อประคับประคองการทำงานของหัวใจ แต่เมื่อการทำงานของหัวใจเสื่อมลงถึงระดับที่ผู้ป่วยเริ่มมีอาการหัวใจวาย เลือดคั่งต้องทำการผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจหรือซ่อมลิ้นหัวใจ ถ้าเป็นลิ้นหัวใจตีบการใช้ยาได้ผลน้อยกว่าลิ้นหัวใจรั่ว เมื่อลิ้นหัวใจตีบถึงระดับที่มีอาการ ต้องทำการผ่าตัดขยายลิ้นหัวใจหรือเปลี่ยนลิ้นหัวใจ
ที่น่าสนใจคือ ในปัจจุบันเราพบกลุ่มโรคนี้น้อยลงมาก อาจจากการใช้ยาปฏิชีวนะอย่างกว้างขวาง

4.โรคลิ้นหัวใจอักเสบจากการติดเชื้อ
ส่วนใหญ่มักมีความผิดปกติของลิ้นหัวใจอยู่ก่อน เช่น ลิ้นหัวใจพิการจากไข้รูห์มาติก ลิ้นหัวใจเหล่านี้ผลจากการอักเสบทำให้รูปร่างลิ้นหัวใจผิดปกติไป เมื่อมีเชื้อแบคทีเรียในกระแสเลือดจากสาเหตุใดก็ตาม เช่น ริดสีดวงอักเสบ ทำฟัน (อุดฟัน ถอนฟัน) เชื้อแบคทีเรียสามารถเกาะติดกับลิ้นหัวใจที่ผิดปกติได้ง่าย และลุกลามทำลายลิ้นหัวใจ ทำให้เกิดลิ้นหัวใจอักเสบได้
ผู้ป่วยส่วนใหญ่มาพบแพทย์ด้วยอาการ ไข้หนาวสั่น มีอาการของการติดเชื้อในกระแสเลือด หรืออาจมาด้วย อาการอัมพาตของสมอง แขนขาขาดเลือด จากการที่เศษก้อนเชื้อโรคจากบริเวณลิ้นหัวใจที่อักเสบหลุดกระจายไปติดตาม อวัยวะต่าง ๆ หรือมาด้วยอาการของโรคหัวใจวาย เลือดคั่งจากกล้ามเนื้อหัวใจหรือลิ้นหัวใจถูกทำลายได้
ในปัจจุบัน มีผู้ที่ใช้ยาเสพติดฉีดเข้ามาทางหลอดเลือดมากขึ้น ผู้ป่วยกลุ่มนี้พบลิ้นหัวใจข้างขวาอักเสบโดยไม่จำเป็นต้องมีความผิดปกติมา ก่อน เนื่องจากเข้มฉีดยาที่ไม่สะอาดทำให้มีเชื้อโรคเข้าสู่กระแสเลือดตลอดเวลา เชิ้อโรคมีโอกาสที่จะเกาะลิ้นหัวใจง่ายขึ้น

การรักษาลิ้นหัวใจอักเสบจากการติดเชื้อ คือ ผู้ป่วยต้องได้รับการรักษาตัวในโรงพยาบาล ได้รับยาปฏิชีวนะในขนาดสูงทางหลอดเลือดดำในช่วงแรกต่อมาอาจเปลี่ยนเป็นยารับ ประทาน เป็นเวลานาน 4-6 อาทิตย์ ถ้าอาการไม่ทุเลาหรือมีอาการแทรกซ้อนอื่น ๆ อาจต้องใช้รักษาด้วยวิธีการผ่าตัดร่วมด้วย

5.โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด
สาเหตุเกิดจาก ความผิดปกติทางพันธุกรรม หรือ ความผิดปกติของการเจริญเติบโตตั้งแต่ทารกอยู่ในครรภ์มารดา การเติบโตของเนื้อเยื่อที่จะพัฒนาเป็นหัวใจผิดปกติ ทำให้รูปร่างหัวใจไม่สมบูรณ์ มีได้หลายแบบ ตั้งแต่ ผนังกั้นหัวใจรั่ว (อาจรั่วระหว่างหัวใจห้องบนหรือรั่วระหว่างหัวใจห้องล่าง) บางคนอาจไม่มีผนังกั้นหัวใจเลย (มีแต่หัวใจห้องบนห้องเดียวหรือหัวใจห้องล่างห้องเดียวก็ได้) นอกจากนี้ยังมีลิ้นหัวใจตีบแต่กำเนิด หรือลิ้นหัวใจรั่วแต่กำเนิดได้
ในบางรายมีลักษณะ “ความพิการแบบซับซ้อน” เช่น โรคที่เรียกว่า “Tetralogy of Fallot” (ประกอบด้วยความผิดปกติ คือ ผนังกั้นหัวใจรั่ว ลิ้นหัวใจรั่ว ลิ้นหัวใจตีบ ภาวะตัวเขียว หลอดเลือดแดงใหญ่เอออร์ต้าคล่อมผนังหัวใจ) ทำให้การรักษายุ่งยากขึ้น
อาการที่ผู้ป่วยมาพบแพทย์ แตกต่างไปตามชนิดของความพิการ มีตั้งแต่ตัวเล็กไม่เจริญเติบโต ทางเดินหายใจอักเสบง่าย หรือมีอาการหอบเหนื่อย ไปจนถึงชนิดผิวพรรณตัวเขียวและชนิดผิวพรรณตัวไม่เขียว
โรคหัวใจพิการแต่กำเนิดที่พบบ่อยที่สุด คือ ผนังกั้นหัวใจห้องล่างรั่ว (Ventricular Septal Defect)
โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด ส่วนใหญ่รักษาให้หายได้ด้วยการผ่าตัด
แต่ในปัจจุบัน กลุ่มที่ผนังกั้นหัวใจรั่ว มีวิธีการใช้เครื่องมือที่เรียกว่า Closure device สอดเข้าทางขาคล้ายการสวนหัวใจ เข้าไปปิดบริเวณที่รั่วได้ ทั้งนี้ต้องขึ้นกับขนาดและตำแหน่งที่ผิดปกติด้วย
6โรคหรือความพิการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับหัวใจ
-กลุ่มอาการหัวใจวายเลือดคั่ง
-ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ
-โรคความดันโลหิตสูง
-โรคของต่อมไร้ท่อ เช่น คอพอกเป็นพิษ เนื้องอกของต่อมใต้สมอง
-ภาวะขาดสารอาหารบางอย่าง เช่น ขาดวิตามินบี
-โรคของเยื่อหุ้มหัวใจ เช่น มีน้ำในเยื่อหุ้มหัวใจ เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบเรื้อรังทำให้เยื่อหุ้มหัวใจหนาตัวผิดปกติบีบรัดหัวใจ
-หลอดเลือดพิการ เช่น หลอดเลือดแดงใหญ่เอออร์ต้าตีบ หลอดเลือดแดงใหญ่เออร์ต้าโป่งพอง
โรคเหล่านี้ทำให้เกิดอาการผิดปกติทางหัวใจ อาจตรวจพบหัวใจโต หรือ อาจเกิดอาการหัวใจวายเลือดคั่ง และ/หรือ อาการอื่น ๆ ที่เป็นอาการเฉพาะโรค


การป้องกันโรคหัวใจ

การป้องกันโรคหัวใจมีหลักง่ายๆสองข้อคือ
1.      เรียนเรื่องความเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจ
2.     การจัดการกับความเสี่ยงนั้น


ความเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจ
ความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจมีสองประเภทคือ
ประเภทที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้
·         อายุ
·         เพศ
·         เชื้อชาติ
·         กรรมพันธ์
·         หญิงวัยทอง
ประเภทที่เปลี่ยนแปลงได้ได้แก่
·         การสูบบุหรี่
·         โรคความดันโลหิตสูง
·         โรคเบาหวาน
·         ไขมันในเลือด
·         โรคอ้วน
·         การขาดการออกกำลังกาย
·         ความเครียด
·         การใช้ยา cocain
·         หญิงที่ทานยาคุมกำเนิด และสูบบุหรี่
·         ความเครียด


ผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงดังกล่าวควรจะทำการป้องกันทันที หากยังใช้ชีวิตอย่างประมาทก็อาจจะทำให้เกิดโรคหัวใจได้
1.การหยุดสูบบุหรี่
หากท่านสูบบุหรี่ต้องหยุดสูบทันที หรือหากคิดจะสูบบุหรี่ก็ให้เลิกความคิดนี้ หารหยุดสูบบุหรี่จะเป็นการป้องกันโรคหัวใจได้ดี การสูบบุหรี่ไม่ว่าจะเป็นบุหรี่ไร้ควัน หรือบุหรี่ที่มีนิโคตินต่ำ หรือซิการ์ก็จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ สำหรับท่านที่ไม่ได้สูบบุหรี่หากท่านอยู่ใกล้ชิดกับคนที่สูบบุหรี่ ท่านอาจจะเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ เหมือนคนที่สูบบุหรี่เรื่องว่าเป็นผลจากการสูบบุหรี่มือสอง
·         บุหรี่มีสารเคมีมากกว่า 4800 ชนิดซึ่งเป็นอันตรายต่อหัวใจและหลอดเลือด ทำให้หลอดเลือดตีบได้ง่าย
·         บุหรี่จะทำให้หัวใจท่านทำงานมากขึ้นเนื่องจากเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงตีบ หัวใจเต้นเร็ว และความดันโลหิตเพิ่มขึ้น
·         ผู้หญิงที่สูบบุหรี่ร่วมกับการกินยาคุมกำเนิด จะทำให้เสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจเพิ่มขึ้น
ข่าวดีสำหรับผู้ที่สูบบุหรี่ หากท่านหยุดสูบบุหรี่ความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจจะลดลงอย่างรวดเร็ว โดยประมาณว่าจะเหมือนคนปกติใน 1 ปี
คำอธิบาย: http://www.siamhealth.net/public_html/images/cardio/quit_smoking.jpg
 





2.การออกกำลังกาย
ทุกท่านทราบว่าการออกกำลังกายเป็นสิ่งที่ดี แต่มีเพียงจำนวนไม่มากที่ออกกำลังกาย การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ออกอย่างต่อเนื่องจะช่วยลดการเกิดโรคหัวใจได้1ใน4 หากร่วมกับปรับพฤติกรรมอื่น จะช่วยลดการเกิดโรคหัวใจได้มากขึ้นผลดีของการออกกำลังกาย
·         ทำให้หัวใจแข็งแรง
·         ควบคุมน้ำหนักไม่ให้ขึ้น
·         ลดระดับความดันโลหิต
·         ลดโอกาสเกิดโรคเบาหวานและไขมันในเลือด
แนะนำให้ออกกำลังกายปานกลางวันละ30-40 นาที สัปดาห์ละ 3-5 วันหากไม่สามารถออกกำลังดังกล่าวได้ ท่านสามารถออกกำลังกายโดยการ ทำงานบ้านเพิ่ม เช่นการทำสวน การล้างรถ การเดินไปตลาด การขึ้นบันไดแทนการขึ้นลิฟท์ อ่านรายละเอียด
ผลดีของการออกกำลังกาย
1.     สามารถออกกำลังกายได้เพิ่มขึ้น ทั้งออกกำลังกายได้นานขึ้นและออกได้หนักขึ้นซึ่งจะเห็นผลเมื่อออกกำลังได้ 3 สัปดาห์ วิธีการออกมีทั้งการเดิน การขี่จักรยาน และการยกน้ำหนัก โดยการให้ออกกำลังครั้งละ 20 นาทีสัปดาห์ละ 4-5 ครั้งโดยออกกำลังกายให้หัวใจเต้นได้ประมาณ 70-80%ของการเต้นเป้าหมาย(220-อายุ)
2.     ระดับสาร Catecholamine ซึ่งเป็นสารร่างกายสร้างขึ้นในภาวะที่เป็นโรคหัวใจวาย หากสารนี้มีมากเกินไปจะส่งผลเสียต่อร่างกาย หลังการออกกำลังกายพบว่ารายงานส่วนใหญ่กล่าวไว้ว่ามีปริมาณลดลง ซึ่งส่งผลดีต่อผู้ป่วย
3.     การออกกำลังกายจะทำให้ระบบการหายใจดีขึ้น มีการแลกเปลี่ยนของก๊าซเพิ่มขึ้น
4.     การทำงานของเซลล์เยื่อบุผิวหลอดเลือดดีขึ้น (endotheliail) ทำให้มีการหลั่งสารที่ทำให้หลอดเลือดขยายได้มากขึ้น เลือดไปเลี้ยงแขนขาและที่สำคัญไปเลี้ยงหัวใจเพิ่มขึ้น

ป้องกันและลดความเสี่ยงจาก โรคหัวใจ ด้วยสมุนไพร

    โรคหัวใจมีหลายประเภท ทั้งที่เป็นมาโดยกำเนิดและเกิดจากพฤติกรรมการบริโภคอาหาร ที่สำคัญ โรคหัวใจขาดเลือดที่มีแนวโน้มสูงขึ้นทุกปี และที่น่าตกใจคือโรคหัวใจชนิดนี้มีพี่น้องร่วมตระกูลที่น่ากลัว คือ เบาหวาน และความดันโลหิตสูง
     หากผู้ป่วยมัวแต่วิตกกังวลและรักษาอยู่ 2 โรคนี้จนลืมหัวใจไปเลย พอหัวใจแสดงอาการเจ็บป่วยก็มักเกินการเยียวยา หรือเป็นหนักเสียแล้ว มีคุณหมอที่เชี่ยวชาญด้านหลอดเลือดบอกว่า ผู้ป่วยโรคหัวใจขาดเลือดอย่าชะล่าใจแค่นั้น ต้องตรวจดูเส้นเลือดที่สมองด้วย อย่ารักษาแต่หัวใจจนลืมส่วนหัวของตนเอง
    โรคเหล่านี้ล้วนมาจากพฤติกรรมการรับประทานอาหารที่บริโภคล้นเกิน และเป็นอาหารที่อุดมด้วยแป้ง ไขมัน น้ำตาล เรียกว่าเราใช้ชีวิตกินอยู่คล้ายคลึงกับคนเมืองหนาวเข้าไปทุกวัน ที่สำคัญยังขาดการออกกำลังกาย จึงทำให้เกิดภาวะโภชนาการล้นเกิน คนไทยเป็นโรคอ้วนและโรคเรื้อรังไม่ต่างจากประเทศตะวันตกเลย
    ข้อแนะนำที่สำคัญสำหรับหลีกเลี่ยงและรักษาสุขภาพจากโรคหัวใจ คือ ต้องมีโภชนาการที่ดีหลีกเลี่ยงไขมัน เน้นถั่ว งา ปลา ผัก ให้มากขึ้นในแต่ละมื้อ ออกกำลังกายให้เป็นนิสัย หรือเป็นส่วนหนึ่งในการดำรงชีวิตประจำวัน ควบคุมหรือละเว้นพฤติกรรมเสี่ยงต่าง ๆ อาทิ บุหรี่ แอลกอฮอล์ พักผ่อนให้เพียงพอ อย่าให้เกิดระดับความเครียดสูง การพักผ่อนอย่างเพียงพอช่วยลดความเครียดได้
     นอกจากนี้ ยังมีสมุนไพรอีกหลายชนิดที่ผู้ป่วยหรือกลุ่มเสี่ยงสามารถนำไปใช้ในการดูแลรักษาสุขภาพของท่านเองได้อย่างง่าย ๆ ในรูปของอาหาร เครื่องดื่ม หรือเป็นผักเคียงกับอาหารมื้อประจำวันนั้น ๆ เช่น
กระเทียม นับเป็นสมุนไพรที่รู้จักอย่างแพร่หลาย และมีสรรพคุณมากมาย กระเทียมช่วยทำให้การเต้นของหัวใจช้าลง และเพิ่มการบีบและคลายตัวของหัวใจ ขยายหลอดเลือดส่วนปลาย และช่วยยับยั้งการแข็งตัวของหลอดเลือด กินกระเทียมสดวันละ 2-3 กลีบ จะช่วยให้หัวใจแข็งแรงได้
ต้นหอม หอมแดง หอมหัวใหญ่ มีสารสำคัญคือฟลาโวนอยด์ ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยป้องกันไขมันไม่ให้เกาะตามผนังเส้นเสือด ช่วยป้องกันโรคหัวใจ โรคมะเร็งลำไส้ โรคมะเร็งตับ หรือใช้หอมหัวใหญ่นำมาคั้นเอาน้ำดื่มจะช่วยลดอาการอักเสบบวมหรือลดความดันโลหิตและน้ำตาลในเลือดได้ และหอมหัวใหญ่ยังช่วยให้ผู้ที่กินเป็นประจำมีความจำดีขึ้นด้วย
ขึ้นฉ่าย ผักที่มักใส่ในยำสารพัดชนิดตัวนี้ช่วยขยายหลอดเลือดและลดความดันโลหิตสูง เวลาที่ความดันขึ้นสูงและมีอาการปวดศีรษะ ใช้ขึ้นฉ่ายคั้นเอาแต่น้ำดื่ม จะช่วยลดอาการลงได้
พริกขี้หนู มีรสเผ็ดร้อน ซึ่งมาจากสารที่เรียกว่าแคปไซซิน มีประโยชน์ต่อสุขภาพหลายด้าน ในส่วนของโรคหัวใจ มีผลต่อการขยายตัวของหลอดเลือด แคปไซซินสามารถยับยั้งการหดตัวของหลอดเลือด ส่งผลให้มีการขยายตัวของหลอดเลือด ทําให้มีเลือดไปเลี้ยงผิวหนังหรืออวัยวะบริเวณนั้นได้มากขึ้น และช่วยละลายลิ่มเลือดที่อุดตันในหลอดเลือดหัวใจ ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจ
ดีบัว คือเมล็ดในของฝักบัว มีสรรพคุณลดความดันโลหิต บำรุงหัวใจ เพิ่มการไหลเวียนของเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจ ช่วยขยายหลอดเลือดหัวใจ มีฤทธิ์กระตุ้นหัวใจ ช่วยป้องกันอาการหัวใจเต้นไม่ปกติ นอกจากนี้ ยังมีฤทธิ์แก้ไข้ แก้ร้อนใน กระหายน้ำ แก้อาการติดเชื้อในช่องปาก แก้อาการหงุดหงิดนอนไม่หลับ และลดน้ำตาลในเลือด ดีบัวมีรสขมมากจึงนิยมนำเอาดีบัวไปดองกับน้ำผึ้ง เพื่อช่วยให้ทานง่ายขึ้น
      ยังมีพักพื้นบ้านที่มีคุณสมบัติในการช่วยลดตะกรันในหลอดเลือดได้อย่างดี คือ โหระพา ใบตำลึง ใบแมงลัก ใบยอ ผักกูด ชะพลู มะเขือเทศ บัวบก พริกชี้ฟ้า คะน้า เป็นต้น ผักเหล่านี้มีแคลเซียมและสารต้านอนุมูลอิสระสูงนอกจากนี้ ยังมีสมุนไพรที่นิยมนำมาทำเครื่องดื่มและมีสรรพคุณบำรุงรักษาหัวใจ ได้แก่
ชาเขียว ช่วยย่อยอาหาร ล้างสารพิษ และเชื่อว่าเป็นยาอายุวัฒนะ คุณภาพมากกว่า นักวิจัยหลายท่านยืนยันว่า สารสำคัญในชาเขียวช่วยป้องกันโรคหัวใจได้หลายอย่าง เช่น ช่วยลดคอเลสเตอรอล และความดัน ชาเขียวยังมีสรรพคุณเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ และช่วยป้องกันการแข็งตัวของหลอดเลือด ลดความเสี่ยงของการเป็นมะเร็ง และกระตุ้นการสร้างตัวของเม็ดเลือดขาว เพิ่มภูมิต้านทานแก่ร่างกาย
ดอกคำฝอย เป็นยาบำรุงโลหิต ลดไขมันในเส้นเลือด ลดความดันโลหิตสูง บำรุงหัวใจ บำรุงประสาท ป้องกันไขมันอุดตัน ฟอกโลหิต ช่วยระบายอ่อน ๆ และยังประกอบด้วยไขมันไม่อิ่มตัวหลายชนิด เช่น โปรตีน เบต้าแคโรทีน วิตามินอี เป็นต้น นอกจากนี้ น้ำมันดอกคำฝอยจะช่วยให้การอุดตันของไขมันในหลอดเลือดลดลง และช่วยป้องกันการอุดตันของไขมันในเลือดได้ ทั้งนี้ อาจเป็นผลมาจากน้ำมันดอกคำฝอยมีฤทธิ์ลดการจับตัวของเกล็ดเลือด คนจีนใช้รักษาโรคหัวใจและหลอดเลือด
กระเจี๊ยบแดง เป็นยาลดไขมันในเส้นเลือด ขับปัสสาวะ ลดความดันโลหิตที่มีประสิทธิภาพสูง อีกสูตรหนึ่งที่กำลังได้รับความนิยมแพร่หลาย คือ กระเจี๊ยบแดงต้มกับพุทราจีน ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพชะล้างไขมันร้าย
เกสรดอกบัว และเกสรดอกไม้ทั้ง 5 เกสรดอกบัวหลวงมีสรรพคุณช่วยบำรุงหัวใจ ช่วยบำรุงกำลัง ถ้าเข้ายากับเกสรดอกไม้อีก 4 ชนิด เรียกว่าเกสรดอกไม้ทั้ง 5 ประกอบด้วย ดอกมะลิ ดอกพิกุล ดอกสารภี ดอกบุนนาค ดอกบัวหลวง สรรพคุณรวม ชูกำลัง บำรุงหัวใจ แก้ไข้เพื่อเสมหะและโลหิต แก้ไข้เพ้อกลุ้ม แก้ลม วิงเวียน บำรุงครรภ์
บทที่ 3
วิธีการดำเนินงาน
ขั้นตอนการดำเนินงาน
1.ประชุมปรึกษาหรือเสนอความคิดเห็นและคัดเลือกหัวข้อที่จะศึกษาเพื่อนำเสนอครูที่ปรึกษา
2.ศึกษาและค้นคว้าข้อมูลเกี่ยวกับโรคหัวใจ
3.จัดทำโครงร่างต่อครูที่ปรึกษาเพื่อรอการอนุมัติ
4.ศึกษาวิธีการจัดทำรายงานทางวิชาการเป็นรูปเล่ม
5.นำเสนอความก้าวหน้าเป็นระยะ ตามระยะเวลาที่ครูที่ปรึกษากำหนดเพื่อตรวจสอบความก้าวหน้า
6.ศึกษาวิธีการเขียนอ้างอิงและบรรณานุกรม
จัดทำร่างรายงาน
7.ตรวจสอบความถูกต้องของร่างรายงาน
8.นำเสนอร่างรายงานเพื่อให้ครูที่ปรึกษาตรวจสอบความถูกต้อง
9.จัดทำรายงานให้เป็นรูปเล่มให้เสร็จสมบูรณ์
10.จัดทำ PowerPoint เพื่อเสนอและรักษาบุคคลที่เป็นโรคหัวใจ ตามโรงพยาบาลต่างๆ
11.เผยแพร่ผลงานสู่สาธารณชนผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ เช่น โซเชียลมีเดียออนไลน์ facebook
อุปสรรคที่พบ
1.พบว่ามีปัญหาทางการเผยแพร่ผลงานทางโซเชียลมีเดีย
2.เสนอโครงงานให้บุคคลที่ป่วยเป็นโรคหัวใจ มีการขัดข้องทางข้อมูล
วิธีการแก้ไขปัญหา
1.ตรวจสอบความถูกต้องของผลงานก่อนนำไปเผยแพร่สู่สาธารณชนและสังคม
2.หาวิธีการนำเสนอให้ผู้ป่วยเข้าใจ ในโครงงานเกี่ยวกับโรคหัวใจ
วัสดุอุปกรณ์
1.เครื่องคอมพิวเตอร์ พร้อมเชื่อมต่อระบบอินเตอร์เน็ต
2.ปากกา
3.ดินสอ
4.สมุดจดบันทึก
5.อุปกรณ์เสริมต่างๆ


บทที่ 4
ผลการดำเนินงาน
การจัดศึกษา เรื่องโรคหัวใจ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความหมายของโรคหัวใจ เพื่อนำเรื่องที่ศึกษาค้นคว้านั้นไปช่วยผู้ป่วยในระแวกชุมชนท้องถิ่นตลอดจนเป็นแหล่งเรียนรู้สำหรับประชาชนและผู้สนใจทั่วไป
ซึ่งมีผลการดำเนินงานการศึกษา ดังนี้
การศึกษานั้นได้ศึกษาจากเว็บไซต์ต่างๆๆและได้นำมาเผยแพร่



          
   
   




บทที่5
สรุปผลและข้อเสนอแนะ
สามารถสรุปผลได้ดังนี้
ได้นำข้อมูลที่ศึกษานั้นไปเผยแพร่และปกป้อง คนในชุมชน
และจนสามารถคนในชุมชนต้องนำไปปฏิบัติในการบำบัดโรคหัวใจ












บรรณานุกรม
www.siamhealth.net/hlmt


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น